tag:blogger.com,1999:blog-38294909213346383252024-03-13T04:00:25.321-07:00sontaya_asontayahttp://www.blogger.com/profile/07381547529212192020noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-3829490921334638325.post-39416153168882068352008-11-13T23:45:00.000-08:002008-11-14T00:06:45.983-08:00แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6<div align="left"><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>แผนการจัดการเรียนรู้</strong><br />กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6<br />หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 งานช่าง เวลา 6 ชั่วโมง<br />เรื่อง งานช่างพื้นฐาน เวลา 2 ชั่วโมง<br /><br /><strong>สาระสำคัญ</strong><br />งานช่างพื้นฐานเป็นงานที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตนเอง และเป็นงานที่ใช้ในชีวิต ประจำวันงานช่างพื้นฐานส่วนใหญ่จะเป็นงานที่เกี่ยวกับการซ่อมแซม ปรับปรุง แก้ไข อุปกรณ์สิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน การปฏิบัติงานเกี่ยวกับงานช่างพื้นฐานความปลอดภัยถือเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญ ผู้ปฏิบัติงานจำเป็นต้องรู้ถึงสาเหตุที่อาจเกิดอุบัติเหตุ และรู้จักวิธีป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุ ตลอดจนสามารถปฐมพยาบาลเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้<br /><br /><strong>ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง</strong><br />1. บอกความหมาย ความสำคัญ และประโยชน์ของงานช่างได้<br />2. อธิบายลักษณะของงานช่างพื้นฐานได้<br />3. อธิบายหลักการป้องกันอันตรายส่วนบุคคลได้<br />4. อธิบายหลักปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุจากการทำงานได้<br /><br /><strong>สาระการเรียนรู้</strong><br />1. ความหมายและความสำคัญของานช่าง<br />2. ประโยชน์ของงานช่างพื้นฐาน<br />3. ลักษณะขอองงานช่างพื้นฐาน<br />4. ความปลอดภัยในการปฏิบัติงานช่าง<br /><br /><strong>กระบวนการจัดการเรียนรู้</strong><br />1. ครูซักถามนักเรียนเกี่ยวกับงานช่างที่นักเรียนรู้จักโดยใช้แนวคำถามดังนี้<br />- นักเรียนรู้จักช่างอะไรบ้าง<br />- การรู้จักงานช่างมีประโยชน์อย่างไร<br />2. ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน<br />3. แจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ<br />4. ครูให้นักเรียนดูภาพงานช่างชนิดต่าง ๆ แล้วสุ่มถามนักเรียน 2-3 คนว่างานช่างที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในบ้านนั้นมีช่างอะไรบ้าง<br />5. ครูอธิบายถึงความสำคัญ ประโยชน์และลักษณะของงานช่างพื้นฐานว่ามีอะไรบ้าง<br />6. แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ 4-5 คนให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันหาภาพหรือเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับลักษณะงานช่างพื้นฐานว่ามีอะไรบ้าง แล้วนำมาจัดป้ายนิเทศ<br />7. ขออาสาสมัครนักเรียนบอกลักษณะที่สำคัญของงานช่างพื้นฐานที่นักเรียนสนใจมากที่สุด<br />8. ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปความรู้เกี่ยวกับงานช่าง<br />9. สนทนากับนักเรียนเรื่องความปลอดภัยในการปฏิบัติงานช่าง อุบัติเหตุในขณะปฏิบัติงานแล้วเชื่อมโยงเข้ากับความปลอดภัยในขณะปฏิบัติงาน<br />10. ครูสุ่มถามนักเรียนให้เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุในขณะปฏิบัติงาน และวิธีป้องกันแก้ไขว่าทำอย่างไรบ้าง<br />11. ครูอธิบายเกี่ยวกับเกี่ยวกับความปลอดภัยในการปฏิบัติงานช่าง<br />12. ครูให้นักเรียนดูสไลด์หรือวีดิทัศน์เกี่ยวกับการปฐมพยาบาล แล้วครูอธิบายเพิ่มเติม เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ซักถามตามความสงสัย<br />13. ให้นักเรียนกลุ่มเดิมแสดงบทบาทสมมติ โดยให้แต่ละกลุ่มจับฉลากเลือกหัวข้อดังต่อไปนี้<br />1. การปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่เกิดบาดแผล<br />2. การปฐมพยาบาลเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา<br />3. การปฐมพยาบาลผู้ที่ถูกกระแสไฟฟ้าดูด<br />4. การปฐมพยาบาลผู้ป่วยกระดูกหัก<br />14. แสดงบทบาทสมมติตามเนื้อเรื่อง โดยให้นักเรียนแสดงวิธีปฐมพยาบาลตามขั้นตอนเมื่อแสดงบทบาทสมมติจบแล้ว ให้หัวหน้ากลุ่มออกมาสรุปหน้าชั้น และครูช่วยสรุปเพิ่มเติม<br />15.สรุปร่วมกันเรื่องความปลอดภัยในการปฏิบัติงานช่าง<br /><br /><strong>สื่อ / แหล่งการเรียนรู้</strong><br />1.ภาพตัวอย่างลักษณะงานช่าง วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือ<br />2.ภาพตัวอย่างสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน<br /><br /><strong>การวัดและประเมินผล</strong><br />วิธีการวัดและประเมินผล<br />1. สังเกตพฤติกรรมกลุ่ม<br />2. สังเกตพฤติกรรมบุคคล<br />3. สังเกตการอภิปราย<br />เครื่องมือวัดและประเมินผล<br />1. แบบประเมินพฤติกรรมกลุ่ม<br />2. แบบประเมินพฤติกรรมรายบุคคล<br />3. แบบสังเกตการอภิปราย<br />เกณฑ์การวัดผลประเมินผล<br />1. ประเมินพฤติกรรมกลุ่ม ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60<br />2. ประเมินแบบประเมินพฤติกรรมรายบุคคลผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60<br />3. ประเมินแบบสังเกตการอภิปรายผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60<br /><br /><br /></span><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>ใบความรู้<br /></strong>ความหมาย ความสำคัญและประโยชน์ของงานช่าง<br /><strong>งานช่าง</strong><br />ช่าง หมายถึง ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในงาน หรือในศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง งานช่างหมายถึง สิ่งที่เป็นผลเกิดจากการทำงานของช่างซึ่งแบ่งออกได้หลายสาขา เช่น ช่างไม้ ช่างไฟฟ้า ช่างโลหะ ช่างยนต์ ช่างประปา เป็นต้น </span></div><div align="left"><span style="font-family:trebuchet ms;">ความสำคัญของงานช่าง เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้งานช่างในแต่ละสาขา และได้ทดลองปฏิบัติเพียงเล็กน้อยก็จะสามารถทำได้ด้วยตนเอง</span></div><div align="left"><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>ประโยชน์ของงานช่าง</strong> </span></div><div align="left"><span style="font-family:trebuchet ms;">1. สามารถใช้เครื่องมือ เครื่องใช้สอยได้อย่างถูกต้อง</span></div><div align="left"><span style="font-family:trebuchet ms;">2. เข้าใจคุณสมบัติของวัสดุได้อย่างถูกต้อง </span></div><div align="left"><span style="font-family:trebuchet ms;">3. เข้าใจคุณสมบัติของวัสดุ ซึ่งช่วยทำให้เกิดความประหยัด ทำให้อายุการทำงานของเครื่องมือ เครื่องใช้ยาวนาน<br /></span><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>ความปลอดภัยในการปฏิบัติงานช่าง<br /></strong>การทำงานทุกชนิด ผู้ทำงานจะต้องนึกถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานช่างความปลอดภัยถือว่าเป็นหัวใจของการปฏิบัติงานช่างทีเดียว เพื่อเป็นการป้องกัน และขจัดปัญหา จากการเกิดอุบัติเหตุซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้จากการใช้เครื่องมือ และเครื่องจักรต่างๆ และแม้ว่าเครื่องมือเครื่องจักรกลสมัยใหม่ ได้รับการออกแบบอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว ผู้ใช้ก็ควรใช้อย่าระมัดระวัง โดยการปฏิบัติตามระเบียบของห้องปฏิบัติการ โรงฝึกงาน กฎการใช้เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ ตลอดจนการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ถูกต้อง ตรงกับหน้าที่และวิธีการใช้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ<br /><strong>1. ระเบียบและกฎความปลอดภัยในโรงฝึกงาน</strong><br />1.1 ก่อนเข้าห้องปฏิบัติงานใดในโรงฝึกงานนอกเวลาจะต้องได้รับอนุญาตจากครูผู้สอนก่อนทุกครั้ง<br />1.2 นักเรียนต้องเข้าแถวให้เรียบร้อยเพื่อรับคำสั่งจากผู้สอนก่อนปฏิบัติงานทุกครั้ง<br />1.3 ขณะที่ปฏิบัติงานต้องแต่งกายรัดกุม ขณะปฏิบัติงานไม่ควรสวมใส่เครื่องประดับอื่นที่เป็นโลหะรุ่งริ่งจะทำให้เกิดความเสียหายและทำให้เกิดอันตรายได้<br />1.4 ห้ามหยอกล้อหรือเล่นกันภายในโรงฝึกงานโดยเด็ดขาด<br />1.5 นักเรียนจะต้องใช้เครื่องมือในการฝึกปฏิบัติงานด้วยความไม่ประมาท<br />1.6 การเบิกจ่ายเครื่องมือนักเรียนจะต้องเข้าแถวให้เป็นระเบียบ<br />1.7 เมื่อรู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนเพลีย จงหยุดปฏิบัติงาน อย่าฝ่าฝืนทำงานต่อเพราะอาจจะได้รับอุบัติเหตุได้ง่าย 1.8 หลังเลิกปฏิบัติงานแล้วทุกครั้ง นักเรียนจะต้องรับผิดชอบทำความสะอาดโรงฝึกงานให้เรียบร้อย<br />1.9 ให้ปฏิบัติตามกฎและระเบียบโรงฝึกงานอย่างเคร่งครัด<br /><strong>2. ความปลอดภัยในการใช้เครื่องมือ</strong><br />2.1 ก่อนใช้เครื่องมือทุกชนิดต้องตรวจดูว่า เครื่องมืออยู่ในสภาพเรียบร้อย พร้อมที่จะ ใช้งานได้<br />2.2 เครื่องมือประเภทตัดทุกชนิดมีอันตราย เวลาตัดควรระวังนิ้วมือทุกขณะ<br />2.3 ก่อนเปิดเครื่องสว่านให้หมุน ต้องแน่ใจว่าถอดประแจออกจาจำปาแล้ว<br />2.4 การเจาะชิ้นงานเล็กควรจับงานไว้ที่แท่นของดอกสว่าน หรือจับด้วยปากกาประจำ แท่นสว่าน เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น<br />2.5 การใช้ค้อน อย่าใช้ค้อนที่ด้ามไม่แน่น หรือแตกชำรุด<br />2.6 การใช้สกัด อย่าใช้สกัดที่มีปลายเยินเป็นรูปดอกเห็ด เพราะรอยเยินนั้นอาจจะกระเด็นออกมา ทำให้เกิดอันตรายได้<br />2.7 เมื่อตัดโลหะออกแล้วควรใช้ตะไบลบรอยคมออกด้วย<br /><strong>3. ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน</strong><br />ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน<br />ในการทำงานนั้นเป็นช่างจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เพราะถ้าประมาทเลินเล่อก็อาจทำให้เสียทั้งงาน และทรัพย์สินโดยใช่เหตุ หรือบางครั้งอาจเกิดอันตรายถึงพิการหรือเสียชีวิตได้ ความปลอดภัยในการทำงานย่อมเป็นสิ่งปรารถนาของทุก ๆ คน การรู้จักวิธีการทำงาน รู้จักวิธีใช้เครื่องมือด้วยความไม่ประมาทคอยระวังอยู่เสมอ ๆ จะช่วยขจัดปัญหาอุบัติเหตุได้มาก เครื่องมือทุกชนิดแม้จะออกแบบอย่างเหมาะสมแต่ก็อาจจะเกิดอันตรายแก่ผู้ใช้ ด้วยเหตุนี้ผู้ใช้เครื่องมือควรจะระมัดระวังอยู่เสมอ<br /><strong>สาเหตุที่ทำให้เกิดอันตรายจากการทำงาน<br /></strong>สาเหตุที่ทำให้เกิดอันตรายในการทำงานอาจสรุปอย่างกว้าง ๆ ได้ 4 ประการ คือ เกิดจากตัวบุคคลเอง จากเครื่องมือ อุปกรณ์ และวัสดุต่าง ๆ เกิดจากสภาพแวดล้อม และเกิดจากการจัดระบบงาน เช่น<br />1. การแต่งกายไม่รัดกุม ใส่เครื่องประดับ ผมยาว ปล่อยชายเสื้อ ไม่สวมรองเท้า<br />2. สุขภาพไม่ดี เหน็ดเหนื่อยเกินไป ขาดความรู้และประสบการณ์ ขาดความรอบคอบประมาทไม่ระมัดระวังไม่วางแผนในการทำแผนงานที่กำหนดไว้ ไม่รู้จักประมาณ<br />3. เครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้ชำรุด หรือเริ่มชำรุด ไม่ควร ใช้เครื่องมือผิดประเภท ใช้ผิดวิธี หยิบมาใช้งานโดยไม่ได้ตรวจสอบก่อน ใช้แล้วไม่เก็บเข้าที่ ไม่เก็บวัสดุไว้ในที่ปลอดภัย<br />1. สถานที่ปฏิบัติงานไม่เหมาะสม ไม่สะอาด ไม่เป็นระเบียบ เกะกะ ทำให้การทำงานไม่สะดวกบริเวณงานคับแคบ แสงสว่างไม่เพียงพอ<br />2. การวางแผนการทำงานไม่ดี ไม่รอบคอบ ทำงานผิดขั้นตอน<br />แนวทางในการปฏิบัติงานเพื่อรักษาความปลอดภัย<br />1. ก่อนที่จะใช้เครื่องมือทุกชนิดควรตรวจสภาพก่อนว่าอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้อย่างปลอดภัย หรือไม่<br />2. ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตราย เช่น แว่นตา ถุงมือเสมอ เพื่อป้องกันอันตราย ที่เกิดจากการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือขัด หรืองานที่ต้องจับต้องสารเคมี<br />3. การใช้เครื่องมือจับยึดชิ้นงาน ขณะเจาะหรือตัด<br />4. การทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษก่อนการตรวจซ่อม ควรตัดกระแสไฟฟ้าออกเสียก่อนทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย แต่ถ้าไม่สามารถตัดกระแสไฟฟ้าออกได้ ควรใช้อุปกรณ์ช่วยป้องกันอื่น ๆ เพิ่มเติมเช่น ใส่ถุงมือ สวมรองเท้ายาง และยืนบนพื้นที่แห้ง โดยทำงานด้วยความสุขุมรอบคอบจริง<br />5. ในการใช้เครื่องมือที่สำคัญ เช่นเลื่อย สิ่ว ตะไบ ควรระมัดระวังผู้ปฏิบัติงานข้างเคียง<br />6. การทำงานในที่อับชื้น ควรใช้พัดลมเป่าช่วยให้การถ่ายเทอากาศดีขึ้น<br />7. ก่อนที่จะใช้เครื่องมือเครื่องจักรใดๆ ควรศึกษาวิธีการใช้เครื่องมือก่อน<br />8. ไม่ควรทำความสะอาดเครื่องมือเครื่องจักรขณะที่กำลังเดินเครื่องอยู่<br />9. ก่อนและหลังปฏิบัติงานตรวจสอบความเรียบร้อยของสถานที่ทำงานทุกครั้ง<br />10. ควรเก็บเครื่องมือเครื่องใช้ไว้ในที่เหมาะสมและแยกเป็นประเภทไว้<br /><strong>การป้องกันอุบัติเหตุต่าง ๆ</strong><br />เราสามารถป้องกันอุบัติเหตุได้ ฉะนั้นวิธีการที่จะช่วยลดอุบัติเหตุได้ดังนี้<br />1. ระมัดระวัง ดูแลเครื่องมือเครื่องใช้อยู่เสมอ<br />2. ระมัดระวังตนเองอยู่ตลอดเวลาขณะปฏิบัติงาน<br />3. จัดสถานที่ทำงานให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยเหมาะสมที่จะทำงาน<br />4. การทำงานในที่สูงควรใช้อุปกรณ์ช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการพลัดตก เช่น ใช้เข็มขัดป้องกันภัย<br />5. ในกรณีที่จำเป็นต้องทำงานใกล้เชื้อเพลิง ควรมีน้ำยาดับเพลิงวางไว้ใกล้ ๆ<br /><br /><br /><strong>หลักการเกี่ยวกับความปลอดภัย</strong><br />เพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ควรจะยึดหลักที่เรียกว่า 5 ส. ได้แก่ สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ และสร้างนิสัย โดยเขียนเป็นตารางได้ดังนี้<br /><strong>หลักการ<br />1. สะสาง</strong> การขจัดสิ่งของที่ไม่ต้องการออก<br /><strong>ผลจากการไม่ดำเนินการ<br /></strong>- เสียเวลาค้นหาสิ่งของ<br />- ตรวจสอบยากว่ามีของที่ต้องการอยู่หรือไม่<br />- สถานที่ปฏิบัติงานมีน้อย<br />- สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการดูแล<br /><strong>ผลจากการดำเนินการ</strong><br />- หาสิ่งของที่ต้องการได้ง่าย<br />- มีพื้นที่ว่างฝึกปฏิบัติงาน<br /></span></div><div align="left"><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>2. สะดวก</strong> จัดของที่ใช้ให้เป็นระเบียบโดยคำนึงถึงความปลอดภัย<br /><strong>ผลจากการไม่ดำเนินการ<br /></strong>- ดูแลรักษายาก<br />- เป็นบ่อเกิดของอุบัติเหตุ<br />- เสียเวลาค้นหา<br /><strong>ผลจากการดำเนินการ</strong><br />- รักษาคุณภาพของสิ่งต่าง ๆได้ง่าย<br />- ลดการเกิดอุบัติเหตุ<br />- ไม่เสียเวลาในการหยิบใช้<br />- ตรวจสอบสิ่งของได้ง่ายขึ้น<br /></span></div><div align="left"><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>3. สะอาด</strong> ทำความสะอาดสถานที่ปฏิบัติงานเครื่องมือ,อุปกรณ์ต่างๆให้เรียบร้อย<br /><strong>ผลจากการไม่ดำเนินการ</strong><br />- สถานที่ปฏิบัติงานรกรุงรัง<br />- เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ชำรุดเสียหาย วางไม่เป็นระเบียบ<br /><strong>ผลจากการดำเนินการ</strong><br />- สถานที่ปฏิบัติงานสะอาดเหมาะสมกับการฝึกปฏิบัติงาน<br />- เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ในสภาพที่สามารถนำมาใช้ได้ทันที<br /></span></div><div align="left"><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>4. สุขลักษณะ</strong> จัดสถานที่ฝึกปฏิบัติงานให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อสุขภาพอนามัยของตนเองและผู้ร่วมงาน<br /><strong>ผลจากการไม่ดำเนินการ</strong><br />- เกิดมลภาวะต่าง ๆ เช่น ฝุ่นละออง อับชื้น กลิ่น เสียงดัง<br />- เสียสุขภาพจิต<br />- ไม่กระตือรือร้น<br /><strong>ผลจากการดำเนินการ</strong><br />- สถานที่ปฏิบัติงานมีความร่มรื่นปลอดโปร่งอากาศถ่ายเทดี<br />- มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตดี<br /></span></div><div align="left"><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>5. สร้างนิสัย</strong> ปฏิบัติ 4 ส แรก จนเกิดทักษะและติดนิสัยของตนเอง<br /><strong>หมายเหตุ</strong><br />- ฝึกทักษะจนติดเป็นนิสัยที่ดีในการปฏิบัติงาน เช่น รักษาความสะอาดมีระเบียบวินัยในการ<br />ปฏิบัติงาน<br />- คำนึงถึงความปลอดภัย และกฎของโรงฝึกงาน</span></div><div align="left"><span style="font-family:trebuchet ms;"></span></div><div align="left"><br /><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>หลักและวิธี</strong></span><a title="การปฐมพยาบาล" href="http://tutor.nmrsw2.ac.th/mod/resource/view.php?id=780"><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>การปฐมพยาบาล</strong></span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong><br /></strong></span><a title="การปฐมพยาบาล" href="http://tutor.nmrsw2.ac.th/mod/resource/view.php?id=780"><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>การปฐมพยาบาล</strong></span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>ผู้ป่วยที่เกิดบาดแผล<br /></strong>1. ถ้าผู้ป่วยที่เป็นลมหรือหมดสติต้องรีบแก้ไขให้ฟื้นสู่สภาพปกติและทำความสะอาดบาดแผล<br />2. เมื่อโลหิตหยุดไปแล้ว ควรชำระล้างแผลให้สะอาดด้วยแอลกอฮอล์<br />3. ถ้าเกิดแผลเล็กน้อย เช่น แผลรอยถลอก รอยขีดขวนเมื่อทำความสะอาดบาดแผล<br />แล้ว ควรใส่ยาแผลสดอีกครั้ง<br />4. ถ้าเกิดบาลแผลฉกรรจ์ ควรปฐมพยาบาลไปพร้อม ๆ กับการนำส่งโรงพยาบาล<br /><br /></span><a title="การปฐมพยาบาล" href="http://tutor.nmrsw2.ac.th/mod/resource/view.php?id=780"><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>การปฐมพยาบาล</strong></span></a><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา</strong><br />1. ควรลืมตาในน้ำสะอาด และกระพริบตาช้า ๆ<br />2. ควรดึงเปลือกตาทั้งบนและล่างให้ห่างออกจากกัน เพื่อสำรวจหาสิ่งแปลกปลอม<br />ถ้าพบควรใช้ผ้าสะอาดเขี่ยออก<br />3. ถ้ารู้สึกว่ายังมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ ควรใช้ผ้าแห้งปิดทับไว้แล้วรีบไปพบแพทย์<br />4. ในกรณีที่มีสิ่งแปลกปลอมฝังลงในตา ไม่ควรขยี้ตาหรือใช้ของแหลมเขี่ยออก<br />ควรหลับตาและใช้ผ้านิ่ม ๆ วางทับเปลือกตาไว้แล้วรีบไปพบแพทย์<br />5. เมื่อผู้ป่วยถูกกรดหรือด่างกระเด็นเข้าตา ต้องรีบใช้น้ำสะอาดล้างหน้าและตาโดยเร็ว<br />ก่อนจะไปพบแพทย์<br /><br /><br /><br /></span></div>sontayahttp://www.blogger.com/profile/07381547529212192020noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3829490921334638325.post-48423550600656825522008-11-13T00:26:00.000-08:002008-11-13T00:34:00.158-08:00หลักในการเลือกบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม<span style="font-family:verdana;"><strong>การเลือกบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม ควรเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาครบถ้วน และได้ปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยมีหลักในการเลือก ดังนี้<br /></strong>1. เลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนทั้ง 5 หมู่<br />2. เลือกอาหารที่สะอาด ไม่มีแมลงวันตอม มีบรรจุภัณฑ์ห่อหุ้มที่สะอาด<br />3. เลือกอาหารที่สดและใหม่ ไม่บูด เน่า เสีย<br />4. เลือกอาหารที่ไม่แข็งหรือเหนียวเกินไป เพราะจะทำให้ย่อยยาก<br />5. เลือกบริโภคอาหารที่มีกากใยมาก เช่น ผักและผลไม้ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้การทำงานของระบบขับถ่ายปกติ<br />6. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย<br />7. เลือกเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น น้ำผลไม้<br />8. ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เช่น กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังประเภทต่าง ๆ และเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ทุกชนิด</span><br /><span style="font-family:verdana;"></span><br /><span style="font-family:verdana;"></span>sontayahttp://www.blogger.com/profile/07381547529212192020noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3829490921334638325.post-87501074465429613412008-11-11T19:34:00.000-08:002008-11-11T19:54:03.752-08:00การเลี้ยงปลาดุก<div align="left"><span style="font-family:courier new;"><strong>การเลี้ยงปลาดุก<br /></strong><br />ปลาดุก แบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ คือ ปลาดุกน้ำจืด และปลาดุกทะเล<br />ปลาดุก จะมีลักษณะเป็นปลาไม่มีเกล็ด มีหนวด 4 เส้นที่ริมฝีปาก ผิวหนังมีสีน้ำตาล บริเวณครีบด้านลำตัวทั้งสองข้างมีเงี่ยงแหลมคมใช้เป็นอาวุธเพื่อยักศัตรู เนื้อมีสีเหลือง<br /><br /><strong>การเพาะพันธุ์ปลาดุก<br /></strong>บ่อเพาะพันธุ์ควรมีเนื้อที่ตั้งแต่ 4ไร่ถึง 20 ไร่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีคันบ่อสูงกว่าพื้นดินประมาณ 50 ซม. ลึกประมาณ 1.25 เมตร กว้าง 3เมตร คูนี้จะใช้เป็นที่เพาะเลี้ยงแม่พันธุ์ ภายในบ่อจะขุดร่องเล็ก ๆ ลึกประมาณ 50 ซม. แบ่งท้องนาออกเป็นแปลงยาว ๆหลาย ๆ แปลงแต่ละแปลงกว้างประมาณ 3เมตร บนแปลงนาเหล่านี้เกษตรกร จะขุดหลุมเส้นฝ่าศูนย์กลางประมาณ 25 ซม.ลึก 25 ซม. ห่างกันหลุมละประมาณ 1เมตร และปล่อยให้หญ้าขึ้นเองตามธรรมชาติ<br /><br /><strong>วิธีการเพาะพันธุ์</strong><br />การปล่อยพ่อแม่พันธุ์จะปล่อยในอัตราส่วน 100 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ400-600 ตัว/ไร่<br />ฤดูกาลเพาะจะเริ่มในช่วงเดือนกุมภาพันธุ์ ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูหนาว สูบน้ำเข้าบ่อให้ท่วมพื้นที่บ่อประมาณ 25-30 ซม. พ่อแม่พันธุ์จะขึ้นมาวางไข่ที่หลุมที่เตรียมไว้ และจะเฝ้าดูแลตัวอ่อนอยู่ในหลุม ลูกปลาจะอยู่ในหลุมจนประมาณ 10 วัน ก็จะเริ่มออกจากหลุมดังนั้นเมื่อสูบน้ำเข้าประมาณ 9-10 วันต้องรีบจับลูกปลา<br /><br />นอกจากนั้นควรมีการโรยปูนขาวด้วยเป็นครั้งคราว การเพาะครั้งต่อไป จะเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ไปเป็นเวลาประมาณ 12-14 วันแล้วจึงสูบน้ำเข้าบ่อเพื่อเริ่มการเพาะครั้งต่อไป โดยปกติจะจับลูกปลาได้ประมาณ 1,000ตัว/หลุมหรือ20,000-350,000ตัว/ไร่ ถ้าผลิตได้ต่ำกว่า 100,000ตัว/ไร่ติดต่อกัน ควรตรวจดูปริมาณพ่อแม่พันธุ์ว่ามีมากหรือน้อยเกินไป หรืออาจจะเปลี่ยนพ่อแม่พันธุ์ทั้งชุดเลยก็ได้<br />การอนุบาลลูกปลา ลูกปลาที่มีขายในท้องตลาดจะมี 3ขนาดคือ 1-1.2 ซม.เป็นลูกปลาที่มีอายุ8-12 วัน ซึ่งตักตรงมาจากบ่อ ลูกไรนี้หากอนุบาลประมาณ 2สัปดาห์จะได้ลูกปลาขนาด 3-4 ซม.เรียกว่าปลาคว่ำบ่อ ซึ่งเป็นที่นิยมในการซื้อไปเลี้ยง บางฟาร์มจะอนุบาลลูกปลาถึง 30-35วันจะได้ปลาเซ็น(ขนาด3-5 ซม.) การอนุบาลทำได้ 2แบบคือ อนุบาลในบ่อคอนกรีตและบ่อดิน<br /><strong>วิธีการเลี้ยงและการให้อาหาร</strong><br />บ่อเลี้ยงปลาดุกควรพิจารณาเป็นพิเศษ แตกต่างจากการเลี้ยงปลาชนิดอื่น ทั้งนี้ทั้งนั้น เนื่องจากปลาดุกมีนิสัยชอบหนีออกจากบ่อเลี้ยง โดยเฉพาะขณะที่ฝนตกน้ำไหลลงในบ่อ ปลาจะว่ายทวนน้ำออกไป การป้องกันโดยการล้อมขอบบ่อด้วยตาข่ายไนล่อนก่อน ซึ่งให้มีความสูงประมาณ 50 ซม. อัตราการปล่อยในเนื้อที่ 1 ตารางเมตร ควรปล่อยปลาประมาณ 60 ตัว สำหรับบ่อปลาที่มีการถ่ายเทน้ำได้สะดวก จะเพิ่มจำนวนปลาให้มากกว่านี้เล็กน้อยก็ได้ แต่ไม่ควรปล่อยปลาให้แน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้ปลาโตช้าและทำอันตรายกันเอง<br /><br /><strong>อาหาร</strong><br />ปลาดุกเป็นปลาที่มีนิสัยการกินอาหารได้ทั้งเนื้อและพืช ซึ่งพอจะแบ่งได้ดังนี้<br />1.อาหารจำพวกเนื้อ ได้แก่ เนื้อปลา เนื้อสัตว์ต่างๆ ที่เหมาะสมตามที่จะหาได้ หรือเครื่องในสัตว์ตลอดจนเลือดสัตว์ และพวกแมลง เช่น ปลวก หนอน ไส้เดือนฯลฯ<br />2.อาหารจำพวกพืชผัก ได้แก่ รำข้าว ปลายข้าว กากถั่ว กากมัน แป้ง ข้าวโพด และผักต่างๆ เพื่อเป็นการเพิ่มอาหาร อาจให้มูลสัตว์ เช่น มูลไก่ มูลหมู มูลสัตว์เหล่านี้จะเป็นอาหารทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ปลาดุกได้เป็นอย่างดี<br />โดยทั่วไปแล้วปลาดุกชอบกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ มากกว่าอาหารประเภทพืช แต่การให้อาหารประเภทเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียว จะทำให้ปลาเจริญเติบโตไม่ได้สัดส่วน เช่น อาจทำให้ตัวอ้วนสั้น มีไขมันมากเกินไป ดังนั้น เพื่อให้ปลาโตได้สัดส่วนมีน้ำหนักดี ควรให้อาหารประเภทเนื้อในอัตรา 30-50 % ของอาหารประเภทพืชบริเวณที่ให้อาหารในแต่ละครั้งควรให้อาหารในที่เดียวกัน และควรให้อาหารเป็นเวลา เพื่อฝึกให้ปลารู้เวลาและกินอาหารเป็นที่ ปริมาณการให้อาหารควรให้อาหาร 5 % ของน้ำหนักตัวต่อวันปัจจุบันการเลี้ยงปลาดุกจะใช้อาหารสำเร็จรูปและจะเสริมพวกอาหารสด เพื่อเป็นการลดต้นทุนค่าอาหาร และทำให้ปลาโตเร็ว แต่ข้อเสียของการให้อาหารสดคือ จะทำให้น้ำเสียได้ง่าย ดังนั้นควรมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ ประมาณเดือนละ 1-2 ครั้ง<br /><br /><br /><strong>การแปรรูป นิยมนำมาทอด ในรูปปลาแดดเดียว ปลาเค็ม</strong><br /><strong>ส่วนผสม</strong><br />ปลาทั้งตัว 10 กิโลกรัม<br />เกลือ 1 กิโลกรัม<br />น้ำ 9 กิโลกรัม<br /><strong>วิธีทำ</strong><br />1.ตัดหัว ควักไส้ปลา ล้างสะอาด แล้วบั้งทั้งตัว ข้างละ 3-4 รอย<br />2.เกลือผสมน้ำให้ละลาย แช่ปลาในน้ำเกลือ ประมาณ 30 นาที<br />3.นำปลาไปตากแดด 5 -8 ชั่วโมง ถ้าต้องการปลาเค็มไว้รับทานนานๆ ควรตากให้แห้งสนิท</span></div>sontayahttp://www.blogger.com/profile/07381547529212192020noreply@blogger.com0